ในสมัยปู่เป็นเด็กเล็กๆ ปู่ชอบกินมะม่วงดองมาก ด้วยค่าขนมที่น้อยนิด ปู่ซื้อได้ไม่มากนัก ทำให้ปู่คิดมั่นหมายในใจว่า เมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ มีเงินมากกว่านี้จะซื้อให้สมอยาก จะกินให้หนำใจ แต่พอถึงเวลาจริงๆกลับไม่มีความคิดที่จะทำอย่างนั้น และยังคิดขำๆ ว่า ตอนนั้นหมายมั่นปั้นมืออย่างจริงจัง คงเป็นเพราะวัยที่เปลี่ยนไปและการได้พบสิ่งใหม่ๆ ทำให้สิ่งที่เราคิดว่าเป็นความสุขของสุดยอด กลายเป็นเรื่องที่ไร้สาระ ปู่คิดว่าโดยมากเราเป็นกันอย่างนั้น บางคนติดลูกกวาดรสหวาน ขนมแบบเด็กๆ เกมส์คอมพิวเตอร์ การละเล่นต่างๆ พอโตขึ้นก็เปลี่ยนไป
ความสุขของคนเรา เปลี่ยนแปลงไปได้เรื่อยๆ ตามเวลาที่เปลี่ยนไป ความรู้สึกถึงความสุขพัฒนาไปเรื่อยๆ จากวัยเด็กไปถึงวัยรุ่น ช่วงนั้นจะชอบสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ เช่น ขนม ของเล่น ของสะสมต่างๆ เช่น แสตมป์ หนังสือการ์ตูน ของที่ระลึก ของขวัญ พอเข้าวัยหนุ่มสาว ความสุขที่ได้เป็นความรัก การแต่งงานสร้างครอบครัว การได้มีรถยนต์ ความสุขจึงเหมือนกับบันไดที่ค่อยๆ สูงขึ้น ยิ่งสูงความสุขยิ่งหาได้ยาก และมีราคาแพงขึ้น ต้องขวนขวายดิ้นรนมากขึ้น
ตัวอย่างเช่น ตอนทำงานใหม่ๆ เราใช้รถราคาถูกๆ พอตั้งตัวได้ต้องพยายามเปลี่ยนรถให้หรูขึ้น แพงขึ้น หากฐานะยังไม่ดีพอ ทำให้ต้องเดือดร้อนด้วยเหตุนั้น ความสุขจึงเหมือนต้องพอกพูนให้มากขึ้นไปอีกไม่รู้จบ เติมเท่าไหร่ก็ไม่เคยเต็ม มีเงินร้อยล้านไม่พออย่ากมีพันล้าน ต้องดิ้นรนหากันต่อไป
ปู่เคยได้ยินนิทานอยู่เรื่องหนึ่งฟังดูตลกดี เรื่องมีอยู่ว่ายาจกชายนายหนึ่งไปขอทานบ้านเศรษฐีเป็นประจำ อยู่มาวันหนึ่งยาจกได้ไปนั่งรออยู่หน้าประตู ได้ยินเสียงท่านเศรษฐีกำลังขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเสร็จกิจจึงออกมา และให้ทานแก่ยาจก ยาจกเข็ญใจปฏิเสธ ไม่รับเงินนั้น โดยให้เหตุผลว่า เท่าที่ฟังจากคำขอพรของท่านเศรษฐี ท่านยังยากจนกว่ากระผมมากท่านยังต้องการสิ่งของต่างๆ อีกมากมาย ส่วนตัวกระผมต้องการแค่อาหารและสิ่งของเพียงเล็กน้อยพอประทังชีวิต ไม่ต้องการสิ่งใดมากกว่านี้ พูดจบยาจกได้ลาจากท่านเศรษฐีไปด้วยความรู้สึกที่มีความสุข ที่ตัวเองไม่ได้ยากจนเหมือนท่านเศรษฐี นิทานเรื่องนี้ดูมีคติดี สะท้อนความสุขได้อย่างเจ็บแสบ
ความสุขอีกด้านหนึ่งคือ ความไม่มี ไม่มีอะไรมาผูกมัดเป็นอิสระจากความอยาก คนมีทรัพย์มากเหมือนคนที่มีโซ่ตรวนผูกขาไว้ ไปไหนไกลไม่ได้ ด้วยห่วงสมบัติ แต่ถ้าเขาเข้าใจว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงสมมุติ ไม่ไปยึดติดจนเกิดความทุกข์ เขาก็จะเป็นคนที่มีความสุข ทรัพย์สินสิ่งของเป็นเพียงของนอกกาย ตายไปก็เอาติดตัวไปไม่ได้ ต้องทิ้งไว้เบื้องหลัง ถ้าเรายังมีความอยาก ความละโมบ โหยหิว ร้อนรนอย่างไม่จบสิ่น เราคงต้องเป็นทุกข์ด้วยโรคร้ายแรงและรักษายากที่สุด เหมือนคำพระที่ว่า ชิฆจฉา ปรมา โรคา แปลว่า ความหิวเป็นโรคที่ร้ายแรงที่สุด ...