มีหลายครั้งที่ปู่รู้สึกเสียดาย ภพชาติของคนที่เปี่ยมบุญมากด้วยปัญญา ผู้คนเหล่านั้นน่าจะได้สร้างเสริมบุญบารมีต่อไป เพื่อในวันหนึ่งข้างหน้าสามารถข้ามภพข้ามภูมิได้ แต่ต้องมาสะดุดกับบาปกรรมเพียงเล็กน้อยที่ขวางกั้นไว้ โดยเฉพาะวิบากกรรมที่เกี่ยวกับความรัก บางคนเพียงละความโกรธ ยอมอโหสิกรรมให้แก่คู่กรรม กระแสกรรมนั้นสามารถระงับยับยั้งลงได้
แต่ด้วยความรัก โลภ โกรธ หลง ทำให้มืดบอด ไม่เข้าใจความจริงแท้ของโลกและด้วยแรงอาฆาตนั้น ถึงกับทำร้ายคนอื่นๆ ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ทำให้เกิดบาปกรรมต่อเนื่อง สะสมมากขึ้นไปอีก ทำให้ตัวเองต้องพบวิบากกรรมที่รุนแรง เกิดเป็นความเจ็บป่วย พบกับความยากไร้ ความอับจนหม่นหมองและโดดเดี่ยว เรื่องนี้ปู่ขอยกตัวอย่างหญิงสาวรายหนึ่งเพื่อเป็นอุทาหรณ์
บ่ายวันหนึ่งมีหญิงสาวคนหนึ่ง รูปร่างหน้าตาสวยงาม ได้มาหาปู่เพื่อขอรับการรักษา ปู่จับศรีษะของเธออยู่ครู่หนึ่ง ปู่ได้พบเห็นความเจ็บป่วยที่เกิดจากวิบากกรรมของความรัก ได้ส่งผลให้ร่างกายของเธอ เกิดความแปรปรวนอย่างรุนแรง มีอาการอ่อนล้าหมดพลัง เจ็บป่วยไปหมด ปู่บอกกับเธอว่าโรคนี้เป็นโรคกรรม การรักษาสมัยใหม่ ไม่สามารถรักษาและหาสาเหตุของโรคนี้ได้ เธอยอมรับว่ารักษามานาน อาการก็ไม่ดีขึ้น มีแต่จะทรุดหนักลงไปเรื่อยๆ ความเจ็บป่วย ทำให้เธอต้องลาออกจากงาน เธอสิ้นหวังไม่รู้จะทำอย่างไรดี เมื่อมีคนแนะนำให้มาพึ่งบารมีพ่อปู่ชีวกฯ เธอจึงรีบเดินทางมา คิดว่าเป็นความหวังสุดท้าย หลังจากการรักษา
แต่ปู่ก็ได้บอกกับเธอว่า การรักษาในวันนี้เป็นเพียงการประทังเอาไว้ก่อน อาการต่างๆ คงดีขึ้นเพียงชั่วคราว อีกสองวันต่อมาเธอได้กลับมาหาปู่ เธอบอกว่าหลังจากการรักษาอาการต่างๆ หายเป็นปลิดทิ้ง แต่รุ่งเช้าต่อมาอาการก็กลับมาเหมือนเดิมอีก ปู่จึงเฉลยว่าที่ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เพราะยังไม่ได้แก้ไขที่ต้นเหตุของโรคและยังไม่ได้ทำลายตัวสื่อของพลังวิปริตนี้ ปู่บอกเธอว่าตัวสื่อนี้เป็นสิ่งของที่เธอได้รับไว้ เธอต้องคืนให้แก่เจ้าของทั้งหมด
เมื่อปู่พูดจบเธอแปลกใจที่ปู่รู้ความลับของเธอ เธอจึงยอมสารภาพเล่าความหลังครั้งก่อนว่า เธอเคยรักผู้ชายคนหนึ่ง รักมาก รักจนหมดใจ ต่อมาเธอถูกทอดทิ้งจึงเกิดความโกรธแค้น และตั้งแต่นั้นมาเธอแก้แค้นผู้ชายทุกคนที่เข้ามาพัวพัน เธอหว่านเสน่ห์ทำให้เขาหลงใหลและรับของกำนัล สิ่งมีค่าต่างๆ จากนั้นเธอก็จากไป ทำให้ผู้ชายเสียใจและแค้นเคืองสาปแช่งเธอ เมื่อปู่บอกให้เธอคืนทรัพย์สินเหล่านั้นให้แก่เจ้าของเดิม เธอจึงมีท่าทีเสียดาย และคงคิดว่ามันเป็นสิทธิโดยชอบและสาสมแก่ใจแล้ว
หลังจากที่ได้พูดคุยกันพอสมควรแล้ว ปู่จึงแนะนำวิธีแก้กรรมให้กับเธอ โดยอย่างแรกที่เธอต้องทำคือ การอโหสิกรรมให้แก่ผู้ชายคนนั้นที่ทำให้เธอเสียใจ และขออโหสิกรรมต่อผู้ชายที่เธอไปทำร้ายจิตใจเขาเหล่านั้น ต่อมาคือการพิจารณาทุกข์ โทษของเวรกรรมที่ติดตามมาจากการกระทำของตัวเอง มองให้เห็นความจริงแท้ของชีวิตและปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ประกอบกับการรักษากับพ่อปู่และขอพึ่งบารมีความเมตตาของพ่อปู่ชีวกฯ โรคทั้งหมดจะบรรเทาเบาบางและหายไปในที่สุด ด้วยบุญกุศลที่เธอสะสมไว้ในอตีตชาติจะช่วยนำทางไปสู่ความสงบสุขอีกครั้งหนึ่ง ปู่ได้บอกเธอว่าเราต้องเชื่อกฎแห่งกรรม ใครทำอย่างไรจะได้อย่างนั้น ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ ชายคนนั้นก็เช่นกัน เขาต้องชดใช้ตามบุญกรรมที่ทำไว้
เมื่อเธอฟังปู่จบลง เธอบอกว่าคงทำไม่ได้ เธอไม่อาจให้อภัยแก่ชายคนนั้นได้และไม่เชื่อกฎแห่งกรรม เพราะทุกวันนี้ชายคนนั้นยังอยู่ดีมีสุข ปู่จึงพูดว่าการที่เราเห็นใครต่อใครดูมีความสุขนั้น ความจริงแล้ว ถ้าเราสืบหาความจริงเบื้องหลังของคนเหล่านั้นทุกคนล้วนมีความทุกข์ ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง ความสุขทางโลกล้วนไม่จีรัง แปรเปลี่ยนหมุนเวียนไปเรื่อยๆ นอกจากว่าเราเข้าใจกฎของโลก ละการยึดมั่นในสมมุติ ยิ่งทำได้มากความสุขยิ่งเพิ่มขึ้นความทุกข์ก็จะลดลง
ในที่สุดสรุปว่าเธอไม่สามารถรับเงื่อนไขที่ปู่เสนอได้ หลังจากการรักษาในวันนั้น เธอเดินกลับด้วยท่าทางเหม่อลอยสิ้นหวังและไม่กลับมาอีกเลย ปู่ได้แต่เวทนาและรำพึงกับตัวเองว่า ทำไมผู้คนมากมายจึงยอมรับที่จะจมอยู่กับความทุกข์? ทั้งๆ ที่สามารถก้าวออกมาจากบ่วงเวรหนี้กรรมนั้นได้ เรื่องนี้ได้สะท้อนทุกข์โทษของความรักว่า
"ที่ไหนมีรักที่นั้นมีทุกข์"
ซึ่งทั้งหมดจริงดั่งคำโบราณว่าไว้ ความรักไม่มีรูปร่างตัวตน เป็นเพียงอารมณ์หนึ่งของมนุษย์ เกิดขึ้นแล้วก็หายไป ไม่ใคร่จะแน่นอน หากประกอบกับอารมณ์อื่นๆ เช่น ความโลภ ความรักนั้นจะเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว อยากครอบครองทุกอย่าง ทั้งร่างกายทรัพย์สินเงินทอง และหากความรักรวมกับความโกรธก็จะกลายเป็นความพยาบาทอาฆาต ตามทำร้ายคนที่ตัวเองเคยรัก จองเวรไม่เลิกรา และหากความรักรวมกับความหลงก็จะกลายเป็นคนไร้เหตุผล
ซึ่งความรักชนิดนี้ บางคนบอกว่าเป็นรักแท้ เช่น ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก พ่อแม่บางคนทุ่มเททุกอย่างเพื่อลูก ปรนเปรอจนลูกเสียคน สุดท้ายทำให้พ่อปม่เสียใจ แต่พ่อแม่ไม่สามารถเลิกรักลูกได้ หรือความรักของชายหญิงบางคู่ ถึงแม้จะถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจเพียงไรก็ยังคงรักภักดี อย่างนี้ต้องเรียกว่ารักแท้แบบโง่งม
เมื่อมองความรักอย่างถ่องแท้ ความรักจึงมักเจือปนด้วยความทุกข์ เมื่อเรารักกันก็เป็นเรื่องน่ายินดี แต่ถ้าอีกคนไม่รักด้วย อีกคนก็ต้องเสียใจ เรียกว่ารักคุด หรือการที่เรารักกันแล้วอีกฝ่ายทอดทิ้งไป อีกคนเสียใจ เกิดความรักแบบลุ่มหลง และกลับกลายเป็นความโกรธแค้น แปรเปลี่ยนเป็นแรงอาฆาตจองเวรกันไม่สิ้นสุด เรียกว่ารักพยาบาท เราจึงไม่ควรยึดความรักเป็นแก่นสารของชีวิต ควรคิดว่าเมื่อมันเกิดขึ้นได้ มันก็สามารถสูญสิ้นไปได้หรือจบสิ้นลงไปได้ เราควรให้อภัยแก่กัน เลิกแล้วต่อกัน เลิกผูกเวรต่อกัน ดังคำที่ว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ...