การออกกำลังกาย
วัตถุประสงค์ของการออกกำลังกายที่ได้รวบรวมไว้มี ๔ ประการ ดังนี้
๑. เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อและอวัยวะต่างๆ มีความแข็งแรง สามารถพัฒนาตัวของมันเองต่อไปให้เหมาะสม สำหรับใช้ประโยชน์ในเวลาจำเป็น กล้ามเนื้อและอวัยวะต่างๆ จะแข็งแรงก็ต่อเมื่อได้ทำหน้าที่ของมันอยู่เสมอ ถ้าทิ้งไว้เฉยๆ ก็เหี่ยวลีบไป ทั้งนี้เพราะส่วนต่างๆ ของร่างกายมนุษย์ถูกสร้างให้พัฒนาตนเองโดยการตอบสนองต่อภารกิจ ดังเราจะเห็นว่า คนที่ถนัดขวา กล้ามเนื้อแขนขวาของเขามักจะโตกว่าแขนซ้ายเนื่องจากแขนซ้ายไม่ค่อยได้ใช้งาน
๒. เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อมีความทนทานสูง โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหัวใจ ถ้าไม่เคยฝึกให้เต้นเร็ว เต้นแรง พอถึงคราวจำเป็นจะต้องเต้นเร็วก็ทนสภาวะนั้นไม่ไหว จึงเหนื่อยมาก เป็นต้น
๓. เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อและข้อต่อมีความยืดหยุ่นตามปกติ
๔. เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อและข้อต่อเกิดความคล่องแคล่ว และคล่องตัว
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะส่งผลให้กล้ามเนื้อซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของโครงสร้างของร่างกาย มีความแข็งแรง มีความทนทานสูง มีความยืดหยุ่น และมีความคล่องตัว ย่อมส่งเสริมให้การรักษาภาวะสมดุลโครงสร้างของร่างกาย มีประสิทธิภาพขึ้น
การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับทุกเพศทุกวัยในทรรศนะของดุลยภาพบำบัด
การออกกำลังกายเพื่อจะให้เกิดทั้งความแข็งแรง ความทนทาน ความยืดหยุ่น ความคล่องตัว และที่สำคัญคือ ความสมดุลนั้น จะต้องทำอย่างไร
สิ่งที่ต้องคำนึงถึง ก็คือ การเคลื่อนไหวตามธรรมชาติของมนุษย์ มนุษย์เราที่รอดชีวิตสืบชาติพันธุ์กันมาถึงทุกวันนี้ มีการเคลื่อนไหวอะไรที่สำคัญที่สุด การเคลื่อนไหวที่ผู้คนส่วนใหญ่ทำกันบ่อยที่สุดในชีวิตประจำวัน ก็คือ การเดิน และการวิ่ง
เพราะฉะนั้น การออกกำลังกายที่ดีที่สุด ก็คือ การเดินกับการวิ่งจากเรื่องโครงสร้างของร่างกาย เราเข้าใจแล้วว่า ร่างกายของเรามีกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และพังผืดยึดโยงกันทั่วร่างกาย เวลาก้าวขาออกเดินหรือวิ่งร่างกายก็เคลื่อนไหวพร้อมกันทั้งหมดทุกส่วน
ถ้าเราเดินหรือวิ่งโดยการรักษาท่าพื้นฐานไว้เสมอ การพัฒนากล้ามเนื้อทั้งร่างกายก็จะเป็นไปอย่างสมดุลตามธรรมชาติ การเดินที่ดีจึงไม่ใช่เดินทอดน่อง ไหล่ห่อ คางยื่น แต่ต้องเดินโดยรักษาท่าพื้นฐานให้ได้ตลอดเวลา ก้าวเดินให้สม่ำเสมอ ก้าวขาอย่างกระฉับกระเฉง ถ้าทำได้ เช่นนี้กล้ามเนื้อก็จะมีการพัฒนา หัวใจก็ได้ออกกำลัง อวัยวะและข้อต่างๆ ก็ได้เคลื่อนไหวอย่างเต็มที่ การออกกำลังกายก็จะบรรลุวัตถุประสงค์ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น และได้ความสมดุลตามมาอีกด้วย
ระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการออกกำลังกาย คือ วันละประมาณครึ่งชั่วโมง โดยทำอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งครึ่งชั่วโมง ไม่ใช่ทำๆ หยุดๆ ส่วนความถี่ในการออกกำลังกาย อย่างน้อยสัปดาห์ละ ๓ ครั้ง
ในชีวิตจริงของหลายๆ คน อาจแบ่งเวลาทำอย่างนั้นไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ในแต่ละวัน เราก็ยังสามารถออกกำลังกายควบคู่ไปกับกิจวัตรประจำวันได้ โดยการฝึกใช้การเคลื่อนไหวและการหายใจของเราที่มีอยู่ตลอดต่อเนื่องนั้น เป็นการออกกำลังกายไปในตัว เช่นในที่ทำงานก็เดินอย่างกระฉับกระเฉง ไม่แข็งเกร็ง ไม่เฉื่อยชา หายใจลึกๆ และสม่ำเสมอ โดยไม่ให้เกิดเสียงดังจนตัวเองได้ยิน เคลื่อนไหวอย่างมีสติด้วยท่าทางที่ถูกต้องสมดุลตลอดเวลา จะเดินทางไปไหนที่พอจะก้าวเดินไป ได้ก็ใช้เท้าเดินไป เป็นต้น หากทำได้เช่นนี้ก็ถือว่า เพียงพอสำหรับผู้ที่ไม่สามารถแบ่งเวลาสำหรับการออกกำลังกายโดยเฉพาะได้
อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายด้วยวิธีอื่นๆ ก็ถือว่าดีทั้งนั้น แต่ต้องคำนึงถึงเรื่องการรักษาความสมดุลควบคู่ไปด้วย มิฉะนั้นแทนที่จะเป็นคุณอาจจะกลายเป็นโทษต่อร่างกาย
การเดิน
ข้อดีของการออกกำลังกายด้วยการเดิน
๑. เพิ่มปริมาณออกซิเจนในสมองทำให้สมองหลั่งเอนเดอร์พินส์ออกมา
๒. เสริมสร้างปอดให้แข็งแรง
๓. กล้ามเนื้อกะบังลมแข็งแรงขึ้นบรรเทาโรคถุงลมโป่งพอง โรคหลอดลมอักเสบ
๔. ช่วยให้ไม่เกิดแรงกดบน หมอนรองกระดูกสันหลังมากเท่ากับการนั่ง
๕. ช่วยให้มีการสะสมแคลเซียมมากขึ้น
๖. เสริมสร้างกล้ามเนื้อและเอ็นในเท้าให้แข็งแรง
ข้อควรระวังในการออกกำลังกาย
ต้องรักษาท่าพื้นฐานในการยืดกระดูกสันหลังอยู่เสมอ เพื่อให้การไหลเวียนของเลือด น้ำเหลือง และการส่งสัญญาณประสาทอยู่ในภาวะปกติ ถ้าทำได้เช่นนี้การออกกำลังกายจะสามารถช่วยในการพัฒนาส่วนต่างๆ ของร่างกายดำเนินไปได้โดยปกติ เนื่องจากไม่มีการปิดกั้นการทำงานภายในร่างกายเกิดขึ้น ร่างกายก็จะอยู่ในภาวะปกติตลอดเวลา ...