ชาวจีนมีภาษิตที่พูดกันติดปากอยู่บทหนึ่งว่าพอจะแปลความหมายเป็นภาษาไทยได้ว่า "สิ่งที่ไม่สมหวังในชีวิต มักจะมีถึงแปดเก้าสิบเปอร์เซ็นต์" ภาษิตบทนี้ เป็นข้อสรุปจากบทเรียนในชีวิตของชาวจีน ซึ่งใครที่ได้ฟังก็มักจะใจหายห่อเหี่ยว และรู้สึกว่าออกจะเป็นการมองโลกในแง่ลบมากไปสักหน่อย แต่เมื่อผมผ่านโลกมาจนถึงวัยนี้ และหันหลังกลับไป ทบทวนดู กลับพบว่าภาษิตบทนี้มีความลึกซึ้งกินใจ หากผู้ได้รับฟังมีอายุสี่สิบปีขึ้นไป ฟังแล้วน่าจะมีความรู้สึกเห็นพ้องไปด้วย เพราะคงจะได้ประสบกับสิ่งต่างๆด้วยตัวเองมามากพอ ส่วนผู้ที่มีอายุเพิ่งย่างเข้าสามสิบ ก็อยากให้รับฟังไว้เป็นคติเตือนใจก่อนที่จะได้พิสูจน์ความจริงของภาษิตบทนี้ด้วยตัวเอง
ผมคิดว่าคนที่ประสบความผิดหวังแปดเก้าครั้งในสิบครั้ง กลับเป็นเรื่องที่ดีเพราะเสมือนหนึ่งได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งชีวิต อย่างแท้จริง เขาจะค่อยๆเรียนรู้ว่า การไม่สมหวังนั้นก็มีเหตุผลในตัวของมันเองอยู่ ตั้งแต่เริ่ม ตั้งความหวังก็เกิดจากการคิดเองเออเองไปตามความอยากได้ใคร่มีต่างๆ โดยขาดประสบการณ์ชีวิตมากพอที่จะคัดกรองว่าเหมาะควรหรือไม่ ความหวังส่วนใหญ่จึงไม่สำเร็จอย่างที่คาดหวัง เพราะขาดเงื่อนไขและเหตุปัจจัยต่างๆช่วยสนับสนุน แต่ความผิดหวังต่างๆเหล่านี้คือแบบฝึกหัดให้เขาได้ฝึกฝน จนเข้าใจวิธีตั้งความหวัง และการสร้างเหตุปัจจัยให้ความหวังนั้นบรรลุผล
ตรงกันข้าม คนที่สมหวังแปดเก้าสิบเปอร์เซ็นต์อยู่เป็นประจำ เช่น ลูกคนมีอำนาจหรือร่ำรวย ทั้งพ่อแม่และคนอื่นๆที่หวังประโยชน์ก็จะคอยประเคนเอาใจ คนเหล่านี้เมื่อได้สิ่งต่างๆมาง่ายเกินไปก็จะไม่รู้ค่า ตั้งแต่เกิดจนตายไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ชีวิตที่แท้จริง ถ้าวันใดที่คนเหล่านี้โชคร้าย เมื่อผู้ที่คอยค้ำจุนช่วยเหลือมีอันต้องแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรงและรวดเร็ว คนเหล่านี้จะปรับตัวได้ยากลำบากมาก อาจถึงขั้นนำพาชีวิตตัวเองไปไม่รอดเพราะไม่เคยได้เตรียมพร้อมมาก่อน
ในครอบครัวที่ต่อสู้สร้างฐานะจนร่ำรวยในรุ่นพ่อ ถ้าเป็นลูกคนโตก็ยังพอได้เห็นได้ร่วมรับรู้ความยากลำบาก และความพลั้งพลาดผิดหวังของบุพการีมาบ้าง เป็นผลให้ลูกคนโตส่วนใหญ่สามารถเป็นหลักให้แก่ครอบครัวในรุ่นต่อไปได้ แต่ถ้าเป็นลูกคนถัดๆไปมักจะไม่มีโอกาสได้เข้ามาใกล้ชิดกับสถานการณ์ต่างๆ เช่นเดียวกับพี่คนโต เมื่อครอบครัวเริ่มมีฐานะ ลูกคนรองๆ ลงไปจนถึงลูกคนสุดท้อง มักจะถูกส่งไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศจนจบปริญญาโท ปริญญาเอกแล้วจึงกลับมาช่วยกิจการของครอบครัว โดยไม่เคยผ่านชีวิตการเป็นลูกจ้างระดับล่างในองค์กรอื่นมานานพอทำให้มองทุกอย่างง่ายไปหมด ไม่มีความอดทนรอบคอบ ทำอะไรก็เอาแต่ใจตัวเองเป็นหลัก
หากได้เป็นหัวหน้าคนก็เป็นหัวหน้าที่ไม่น่ารัก หลงตัวเองว่าเก่งเลอเลิศ เพราะไม่มีโอกาสทำอะไรที่ล้มเหลวมาก่อน เมื่อตำแหน่งสูงขึ้นก็ทำความผิดพลาดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บางคนถึงกับทำให้กิจการที่บรรพบุรุษสร้างมาด้วยความเหนื่อยยากต้องยับเยินป่นปี้ลงไปด้วยน้ำมือของตัวเอง เพราะความเหิมเกริมและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งน่าเสียดายเหลือเกิน…
ผมหวนนึกถึงถ้อยคำของปรมาจารย์ขงจื๊อที่ว่า ... "อายุสามสิบ ยืนหยัดมั่นคง อายุ่สี่สิบ กระจ่างแจ้งในชีวิต อายุห้าสิบ ล่วงรู้ความลับสวรรค์" ...
คงจะหมายถึง อายุสามสิบเริ่มมีประสบการณ์ชีวิต มีทิศทางและเป้าหมายที่แน่นอน เมื่อถึงอายุสี่สิบผ่านประสบการณ์มามากพอ ก็จะไม่ถูกตัวเองครอบงำ รู้จักตั้งความหวังในสิ่งที่เป็นไปได้จึงผิดหวังน้อยลงๆ ส่วนอายุห้าสิบจะตระหนักในสัจธรรมของชีวิต รู้ว่าตัวเองควรจะทำอะไรมากกว่าหวังว่าตัวเองจะได้อะไร การทำประโยชน์ช่วยเหลือผู้อื่นคือการสร้างบารมี และในที่สุดสังคมจะย้อนกลับมาตอบแทนเขาเองโดยไม่ต้องเรียกร้อง
ผู้ที่เตือนสติตัวเองอยู่เสมอด้วยภาษิตข้างต้น เมื่อผิดหวังก็จะไม่ส่งผลรุนแรงจนเกิดความท้อแท้ แต่จะเกิดการเรียนรู้และหาวิธีแก้ไขเหตุแห่งความผิดหวังเพื่อมิให้ซ้ำรอยเดิมอีก เมื่อผ่านกระบวนการเรียนรู้เหล่านี้จนถึงวัยห้าสิบก็เสมือนหนึ่งเรียนจบหลักสูตร ได้รับ “ปริญญาชีวิต” ติดตัวไปตลอด เป็นภูมิคุ้มกันทางใจให้ไกลจากความทุกข์ สามารถมีความสุขในทุกสถานการณ์ แม้ว่าต้องเผชิญกับความผิดหวังถึงเก้าในสิบครั้งก็ตาม ...
ที่มา : วารสาร เพชร ซีพี ออลล์
โดย : คุณก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์
(ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)
จาก : วารสาร ซีพี ออลล์ ปีที่ 12 ฉบับที่ 53 ประจำเดือน เมษายน 2555
หมายเลขไอพี : 124.120.132.xxx
โพสเมื่อ : May 25, 2012 เวลา 23:57:59