พระพุทธมนต์บทนี้ ๒ บทแรก เป็นคาถาที่โบราณาจารย์ท่านแต่งขึ้นใหม่เพื่อประสงค์ให้เป็นการอำนวยอวยพรชัยแก่ท่านผู้เป็นเจ้าภาพ และผู้มาร่วมงานในมงคลพิธี มีความหมายแต่ละตอนดังนี้
ตั้งแต่ มะหาการุณิโก...ถึง ชะยะมังคะลัง มีเนื้อหาพรรณนาสรรเสริญพระมหากรุณาคุณของพระพุทธองค์โดยเฉพาะว่า ทรงบำเพ็ญบารมีให้เต็มเปี่ยมก็เพื่อประโยขน์ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย เพราะเมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้วก็ทรงนำมาสั่งสอนสัตว์โลกให้ได้บรรลุตาม เพื่อข้ามพ้นการเวียนว่ายตายเกิดเป็นต้น
แล้วก็นำความจริงข้อนี้มาเป็นสัจวาจาขอให้ชัยมงคลจงมีแก่ตน
ตั้งแต่ ชะยันโต...ถึง ปะโมทติ มีเนื้อหากล่าวถึงชัยชนะของพระพุทธเจ้าที่ทรงมีต่อพญามารในวันตรัสรู้นั้น นำมาตั้งเป็นคำสัตยาธิษฐานขอให้ประทานความเป็นมงคลให้ เข้าในลักษณะว่า ผู้ให้ ต้องมีสิ่งที่ตนจะให้เสียก่อน แน่นอนว่าอานุภาพของพระพุทธองค์มีปรากฏอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเป็นการขอความเป็นมงคลจากท่านผู้สามารถให้กับเราได้
ส่วนในวรรคสุดท้ายตั้งแต่ สุนักขัตตัง..ถึง ปะทักขิเณ เป็นคาถาที่ท่านตัดย่อมาจากสุปุพพัณหสูตร นำมาต่อท้าย โดยอ้างถึงและยืนยันว่าฤกษ์งามยามดีมีแก่บุคคลได้จริง หากว่าสิ่งที่ทำทางกาย วาจา และใจนั้น เป็นกรรมดี
พระพุทธมนต์บทนี้ นิยมสวดเวลาขึ้นบ้านใหม่ เปิดกิจการใหม่ และเวลาพระท่านพรมน้ำพระพุทธมนต์ก็จะสวดบทนี้อำนวยพรชัยให้สุขสมหวังแต่ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าพระท่านอวยพรให้แล้วสิ่งที่คาดหวังจะสำเร็จดังใจทุกอย่างเพราะหากท่านประพฤติตัวในทางทุจริตผิดศีลธรรม มีความเกียจคร้าน ไม่ขยันทำการงาน แม้จะไปเที่ยวขอพรให้หลวงพ่อวัดนั้นวัดนี้รดน้ำมนต์เพื่อให้รวย ให้ก้าวหน้านั้นอย่าไปหวัง ทุกอย่างผลจะดีมันอยู่ที่เหตุด้วย
ให้สวดบทชัยปริตร (มหากา)