อวิชชานี่แหลมคมมาก ไม่มีอะไรแหลมคมมากกว่าอวิชชาซึ่งเป็นจุดสุดท้าย สติปัญญาก็หยั่งทราบว่า จิตที่ถูกอวิชชาครอบงำอยู่นั้นว่าเป็นสมบัติที่ควรปล่อยวางโดยถ่ายเดียว ไม่ควรยึดถือเอาไว้
ขณะจิต สติ ปัญญา ทั้งสามเป็นอุเบกขามัธยัสถ์นั้นแล เป็นขณะโลกธาตุภายในจิต อันมีอวิชชาเป็นผู้เรืองอำนาจ ได้กระเทือนและขาดสะบั้นบรรลัยลงจากบัลลังค์ คือใจ กลายเป็นวิสุทธิจิตขึ้นมาแทน ในขณะเดียวกันกับอวิชชาสะบั้นหั่นแหลกแตกกระจายหายซากลงไปด้วยอำนาจสติปัญญาที่เกรียงไกร ขณะที่ฟ้าดินถล่มโลกธาตุหวั่นไหว (โลกธาตุภายใน) แสดงมหัศจรรย์ขั้นสุดท้ายปลายแดนระหว่างสมมติกับวิมุตติ ตัดสินความบนศาลยุติธรรม
โดยวิมุตติญาณทัสสนะเป็นผู้ตัดสินคู่ความ โดยฝ่ายมัชฌิมาปฏิปามรรคอริยสัจเป็นฝ่ายชนะโดยสิ้นเชิง ฝ่ายสมุทัยอริยสัจเป็นฝ่ายน๊อคแบบหามแปล ไม่มีทางฟื้นตัวตลอดอนันตกาลสิ้นสุดลงแล้ว เจ้าตัวเกิดความอัศจรรย์โลก อุทานออกมาว่า
“โอ้โห้ ๆ! อัศจรรย์หนอๆ แต่ก่อนธรรมนี้อยู่ที่ไหนๆ มาบัดนี้ธรรมแท้ ธรรมอัศจรรย์ เกิดคาดเกินโลก มาเป็นอยู่ที่จิต และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับจิตได้อย่างไร และแต่ก่อนพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ สาวกอยู่ที่ไหน? มาบัดนี้ องค์สรณะที่แสนอัศจรรย์ มาเป็นอันเดียวกับจิตดวงนี้ได้อย่างไร โอ้โห! ธรรมะแท้ พุทธะแท้ สังฆะแท้ เป็นอย่างนี้หรือ”