ในสมัยพุทธกาล มีพราหมณ์ผู้หนึ่งตรัสถามพระพุทธเจ้าว่า มึคำสอนใดในศาสนาพระองค์ ที่กินใจความครอบคลุมทั้งพระพุทธศาสนาไหม พระพุทธเจ้าตรัสว่ามี พราหมณ์จึงอาราทนาพระพุทธเจ้าให้ตรัสสอน พระพุทธองค์จึงกล่าวว่า สัพเพ ธานัง นาลัง อภินิเวสายะ แปลว่า สิ่งทั่งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
ที่เราทุกข์ๆ กันทุกวันนี้ เพราะเกิดความยึดมั่นถือมั่นในความมีตัวกู เมื่อมีตัวกูก็ต้องมีของกู ทั้งๆที่ตัวเราประกอบด้วย รูปกับนาม อันได้แก่ ธาตุ 4 ขันธ์ 5 อันได้แก่
1. รูปคือร่างกายเราอันประกอบด้วยธาตุ 4 ดิน น้ำ ลมไฟ ประกอบกันขึ้นมา
2. นามคือนามธรรมประกอบด้วย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เวทนาคือความรู้สึกสุขทุกข์ สัญญาคือความจำได้หมายรู้ สังขารคือการปรุงแต่งจิตเป็นความคิด วิญญาณคือความรู้สึก
โดยนามทั้ง 4 ประกอบกันขึ้นมาอาจจะบางส่วน เรียกว่าเป็นจิต จิตเกิดการยึดรูปหรือกายว่าเป็นของฉัน จิตเกิดความหลงหรืออวิชชาว่ามีตัวฉันหรือตัวกูเกิดขึ้นนั่นเอง เมื่อมีตัวกูก็จะมีอยากไม่อยาก ชอบไม่ชอบ มีของกูคือลูกเมรย ทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียงเกียรติยศ ลูกข้าใครอย่าแตะ เมียข้าใครอย่ามอง เงินทองเป็นของกู ชื่อเสียงก็ของกู ตำแหน่งยศก็ของกู ทำให้ตัวกูหรือตัวตนใหญ่ขี้น เมื่อมีตัวกู ก็ตะมีโลภโกรธหลงเกิดขึ้น