ดาวน์โหลดโปรแกรมฟรี
       
   สมัครสมาชิก   เข้าสู่ระบบ
 

 

รวมลิ้งค์ เว็บไซต์ธรรมะ ที่น่าสนใจ
  THAIWARE Dharma | รายละเอียด บทความ บทสวด บทคาถา ธรรมะ
เลือกขนาดตัวอักษร ขนาดตัวอักษร :  ก   ก   ก   ก 

สิ่งทั้งปวงเป็นธรรมะ (ปีที่ 2 ตอน 4) กราบพระบรมสารีริกธาตุที่สารนาถ พาราณสี

 

    Share  
 

 

 

จันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2555 (พาราณสี)
ร่วมพิธีถวายพระรัตนบุษยภาชน์อโศกมหาราชปริวรรต
กราบพระบรมสารีริกธาตุที่สารนาถ พาราณสี

ตื่นเช้ามา พี่หมูชงชารางจืดร้อนๆ ไว้ให้ ดื่มแล้วสดชื่นขึ้น วันนี้เป็นวันสำคัญ เพราะท่านอาจารย์และทุกคนจะร่วมกันถวาย พระรัตนบุษยภาชน์อโศกมหาราชปริวรรต เพื่อครอบที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่สร้างโดยพระเจ้าอโศกมหาราช และบูรณะในกาลต่อมาโดยท่านอนาคาริก ธรรมปาละ ชาวศรีลังกาผู้กอบกู้พระพุทธศาสนาให้กลับฟื้นคืนมาในอินเดีย  พระรัตนบุษยภาชน์ฯ งามมาก ทำเป็นที่ครอบโปร่ง สานด้วยเงิน ทอง อัญมณี ยอดเป็นทองชมพูนุช เป็นทองที่สีออกชมพู มีอุบะล้อม ฐานเป็นพญานาคทำด้วยเงิน 12 ตน งามจริงๆ ปลื้มใจจริงๆ นอกจากนี้ข้าพเจ้าแอบคุยกับน้องแพน จึงทราบว่าคณะเราได้นำอัญมณีมาติดที่พระนลาฏ ตรงพระอุณาโลมของพระประธาน แทนของเดิมที่ถูกขโมยไป  องค์พระประธานปางปฐมเทศนา จำลองแบบมาจากองค์จริงในพิพิธภัณฑ์สารนาถ ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นพระพุทธรูปที่งามที่สุดในอินเดีย ข้าพเจ้าตั้งจิตขอให้อัญมณีเม็ดนี้คงอยู่ที่พระอุณาโลมนี้ชั่วกาลนาน ไม่มีใครสามารถแกะออกไปได้อีก โอม ! (มะลึก กึ๊กกึ๋ยส์) และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในวันนี้ทุกๆท่าน ทั้งท่านที่อยู่เมืองไทย และที่อยู่ ณ วัดมูลคันธกุฎีวิหารใหม่ สารนาถนี้

วันนี้มหากุศลวิบากทางตาเกิดขึ้น ข้าพเจ้าได้กราบและได้เห็นพระบรมสารีริกธาตุ องค์สีออกเหลือง ลักษณะค่อนข้างเป็นทรงกระบอกเล็กน้อย ขนาดประมาณปลายก้อย ครั้งนี้ข้าพเจ้าไม่ลืมแว่นตาแล้ว

เจอน้องหมู น้องอิ้ง น้องแอนซึ่งมากับคณะท่านอาจารย์ เลยทักทายขอถ่ายรูปกันหน่อย ช่วงที่เป็นหวัด ข้าพเจ้าใส่เสื้อสามชั้น สวมหมวก สวมหน้ากากอนามัย ใส่แว่นตากันแดด สวมถุงเท้า ครบสูตรการป้องกันตนเองและผู้อื่น  ถึงตอนนี้เพิ่งนึกได้ว่า เอาอีกแล้ว อยู่ต่อหน้าพระบรมสารีริกธาตุก็ลืมสำรวมกาย วาจา ใจอีกแล้ว เออ เมื่อไรมันถึงจะนึกได้ จำได้หนอ คณะท่านอาจารย์จะอยู่พาราณสีต่อจนกระทั่งวันกลับ เพื่อร่วมพิธีแห่พระบรมสารีริกธาตุรอบเมืองพาราณสี ซึ่งเป็นประเพณีที่ทำกันมาทุกปีในวันเพ็ญเดือนสิบสอง ความจริงข้าพเจ้าอยากติดตามท่านอาจารย์ไปทุกที่ ทุกวัน เพราะจะเป็นเครื่องเตือนใจให้ข้าพเจ้ามีความสำรวมระวังมากขึ้น แต่ก็มีเหตุปัจจัยให้ข้าพเจ้าต้องไปกราบสังเวชนียสถานทั้งสี่ให้ครบทุกครั้งที่มา คราวนี้ได้พบท่านเพียงสามวัน จึงเผลอสติมาก แต่ไม่ว่าข้าพเจ้าจะอ้างเหตุผลอย่างไร ก็คงไม่พ้นอุปนิสัยไม่ดีที่สะสมมานานจึงยากจะแก้ไขได้โดยเร็ว  ออกจากมูลคันธกุฎีวิหารใหม่ ข้าพเจ้าเห็นรองเท้าวางเรียงรออยู่ มองไปที่เก็บรองเท้า ก็ไม่มีแล้ว จึงให้ตังค์แขกที่เอารองเท้ามาวางไว้ให้ แล้วข้าพเจ้าก็เดินออกมา เดินได้สักหน่อยก็รู้สึกว่ารองเท้าแปลกๆ มองดูจึงรู้ว่าไม่ใช่รองเท้าข้าพเจ้า รองเท้าคู่นี้ใส่สบายกว่ารองเท้าเดิม อดนึกห่วงคนที่ใส่รองเท้าข้าพเจ้าไปไม่ได้ เขาต้องเดินเจ็บเท้าไปอีกพัก เพราะเท้าและหน้าเท้าของเขาใหญ่กว่า จริงๆ ถ้าสังเกตให้ดี รองเท้าข้าพเจ้ามีตำหนิจากสีที่ข้าพเจ้าทาไว้เป็นรูปดอกไม้ เพื่อให้ต่างจากคนอื่น แต่แดดจ้ามากเพราะใกล้เที่ยง อาจไม่ทันสังเกต ก็เป็นเหตุปัจจัยให้ข้าพเจ้าได้รองเท้าที่สวมสบายขึ้น แต่พื้นรองเท้าลื่น ต้องเดินระวังขึ้น

จากนั้นเราไปทอดผ้าป่าที่วัดไทยสารนาถ ได้เห็นพระพุทธรูปองค์โต ปางประทานพร (ยืน) ที่ข้าพเจ้าได้กราบและมีโอกาสร่วมทำบุญตั้งแต่ยังแกะสลักด้วยหินทรายแต่ละชิ้นๆ วางอยู่ที่พื้น ปิดทองที่พระพักตร์ จนกระทั่งเอารถเครนยกต่อๆกันขึ้นเป็นองค์ ถ้าไปยืนบริเวณเสาหินพระเจ้าอโศกในสถานที่แสดงปฐมเทศนา แล้วมองกลับมาที่วัดนี้ จะเห็นองค์พระพุทธรูปอยู่ไกลๆ

กลับไปกินข้าวที่โรงแรม เห็นกุหลาบจามุน (Gulab Jamun) บางทีเรียกกุหลาบยามุน หรือกุหลาบยามู ขนมที่ทำจากนม ปั้นเป็นลูกกลมๆ หวานจัด จึงทานกับโยเกิรต์ ให้รสตัดกันแก้เลี่ยน ข้าพเจ้าขี้เกียจต่อคิวตักอาหาร จึงมักทานของหวานก่อนของคาว และเป็นการเรียกน้ำย่อยด้วย ทานขนมเสร็จ คิวรอตักอาหารคนก็ซาไปเยอะแล้ว คนอินเดียเมื่อทานอาหารเสร็จ เขาจะมีเครื่องอมให้ปากหอม ซึ่งมีหลายแบบ หลายอย่าง ถ้าข้าพเจ้าเห็นถาดเครื่องอมนี้ ก็จะเอามาอมเล่น ส่วนใหญ่จะหอมและหวานนิดๆ ที่พาราณสีนี้ เป็นเมืองโบราณ มีพระเจ้าพาราณสีสืบต่อมาเป็นร้อยเป็นพันองค์ แม้ปัจจุบันก็ยังมีพระเจ้าพาราณสีอยู่ วังของท่านอยู่ใกล้ๆ แม่น้ำคงคา ดังนั้นวัฒนธรรมประเพณีการกิน การอยู่ จึงสืบทอดความเป็นเลิศมายาวนาน ให้ชนรุ่นหลังได้สัมผัส ไม่ว่าจะเป็นชามัสล่า เครื่องอมให้ปากหอม ผ้ากาสี ไฟสำหรับเผาศพ ที่จุดอยู่ในโบสถ์ฮินดูแห่งหนึ่งริมแม่น้ำคงคา ยังไม่ดับมาสี่พันปีแล้ว แสดงว่ามีคนตายมาใช้บริการตลอดเวลา และอื่นๆ ที่ข้าพเจ้ายังทราบไม่หมด ซึ่งอาจจะรวมทั้งฝุ่นที่ฟุ้งตลบไปทั่วเมืองมาแต่โบราณก็ได้

ตอนบ่ายรีบไปที่ธัมเมกขสถูป เพื่อไปรอฟังสนทนาธรรม มาเที่ยวนี้ ข้าพเจ้าหาที่ถ่ายรูปใหม่ๆ ตามประสากิเลสพาไป คือ ถ่ายลวดลายที่สลักไว้บนหินทรายที่วางไว้ในที่ต่างๆ เลยไม่ได้ติดตามอาจารย์สงบ ซึ่งกรุณาเป็นมัคคุเทศก์ให้ วันนี้พวกเราถวายผ้าล้อมองค์พระสถูป เป็นผ้าปักเลื่อมสีเงิน ส่งแสงวิบวับงดงาม คณะท่านอาจารย์มาตอนใกล้ค่ำ จึงได้แต่เพียงเวียนเทียนร่วมกัน แต่อดฟังธรรม ท่านอาจารย์เดินทักทายพวกเรา ข้าพเจ้าจะถ่ายรูปท่าน แต่ผิดจังหวะไปหมด จึงไม่ได้รูปดังใจหวัง เพราะยามนี้ กล้องถ่ายรูปของข้าพเจ้ากลายร่างเป็น รุ่นชักช้า ไปแล้ว กดชัตเตอร์จะถ่ายภาพ ก็ไม่ยอมทำงาน ต้องรอจนพร้อมจึงถ่ายได้  โอ้ อนิจจา บังคับบัญชาไม่ได้เลย เป็นไปตามเหตุปัจจัยจริงๆ แม้แต่รูปธรรมอย่างกล้อง ข้าพเจ้าเริ่มระลึกได้ว่าความเพลิดเพลินในการถ่ายรูปนี้ ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้พลาดการเจริญกุศลไปหลายประการ น่าเสียดายจริงๆ ข้าพเจ้าคงจะต้องมากราบสังเวชนียสถานอีกครั้ง โดยไม่เอาเครื่องเพิ่มกิเลสเหล่านี้มาด้วย แต่ก็นึกได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดตามเหตุตามปัจจัย กำหนดกฎเกณฑ์บังคับอะไรอย่างใจไม่ได้ ถ้าสติไม่เกิดในขณะนั้น ถ้าการอบรมปัญญาด้านต่างๆ ในทศบารมี ไม่ได้สะสมให้มั่นคงพอ มากี่ครั้งก็เหมือนเดิม จะต่างกันก็ตรงมีปัจจัยให้วุ่นวายได้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง

เจอชาวญี่ปุ่นชายหญิงวัยกลางคน ทางด้านหน้าพระสถูป พอยิ้มให้กัน ก็ถามว่าเขามาจากแจแปนหรือ เขาบอกว่าใช่ พอถามข้าพเจ้ามาจากไหน ก็บอกว่าไทยแลนด์ คนผู้ชายก็ทำหน้ารับรู้ว่า อ๋อ ไต้หวัน ข้าพเจ้าก็บอก ไทยแลนด์ เขาก็ อ้า ไต้หวัน แล้วทำท่าไม่ค่อยอยากคุย ข้าพเจ้าก็เลยเดินไปเข้ากลุ่ม มารู้ทีหลังว่า ถ้าเจอคนญี่ปุ่น ให้บอกว่าแบ๊งค๊อก ถ้าบอกว่า ไทยแลนด์ เขาจะคิดว่า ไต้หวัน และจะไม่อยากคุยด้วย เพราะญี่ปุ่นกับไต้หวัน โกรธกันอยู่

ออกจากสถานที่แสดงปฐมเทศนาใกล้ค่ำ ทุกคนเดินมาที่มูลคันธกุฎีวิหารใหม่อีกครั้ง แล้วเดินเวียนเทียนรอบวิหารกัน ข้าพเจ้าเจอน้องบวรอีก กำลังประคองดูแลอาจารย์นิภัทร ปีนี้ท่าน 88 แล้ว เดินมากไม่ค่อยไหว น้องเลยฝากโคมเทียนของอาจารย์นิภัทรที่มีพวงมาลัยประดิษฐ์อย่างสวยงามคล้องอยู่ ให้ข้าพเจ้าช่วยเวียนเทียนต่อให้ด้วย เมื่อเวียนเทียนเสร็จข้าพเจ้าตามคณะเข้าไปที่ต้นโพธิ์ ซึ่งล้อมรอบด้วยพระพุทธรูปของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ที่ฐานจารึกพระนามแต่ละพระองค์ด้วย ข้าพเจ้าวางโคมเทียนไว้ที่หน้าพระพุทธเจ้าพระนามว่า สิขี ที่ด้านหน้าต้นโพธิ์มีรูปปั้นพระพุทธเจ้ากำลังแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์ ออกจากต้นโพธิ์มาเจออาจารย์นิภัทรและน้องบวรพอดี เลยเรียนให้ท่านทราบ เจอน้องหมู น้องอิ้ง ทักทายกัน น้องหมูให้ใบโพธิ์ที่เก็บได้ในบริเวณนั้นมาใบหนึ่ง ต้นโพธิ์ต้นนี้มักเรียก ต้นโพธิ์ลังกา ที่เรียกเช่นนี้เพราะเป็นหน่อของต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ปลูกที่เมืองอนุราธปุระ ในศรีลังกา ซึ่งพระสังฆมิตตาเถรี พระราชธิดาของพระเจ้าอโศกมหาราช ได้นำกิ่งทางด้านทิศใต้ของต้นพระศรีมหาโพธิ์ ที่หล่นลงมาในพระหัตถ์ของพระเจ้าอโศกตามที่ทรงอธิษฐาน ไปปลูกที่ศรีลังกา ตามคำทูลขอจากพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ พระสหายที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน ข้าพเจ้าจึงได้ใบของลูกพระศรีมหาโพธิ์ที่ศรีลังกาโดยไม่ได้คิดหวังมาก่อน

บางท่านอาจสนใจพุทธประวัติของพระสิขีพุทธเจ้า จึงขอคัดลอกบางส่วนจากอรรถกถา มาไว้ ณ ที่นี้

พระสิขีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมีพระนครชื่ออรุณวดี พระชนกพระนามว่าพระเจ้าอรุณ พระชนนีพระนามว่าพระนางปภาวดี พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่เจ็ดพันปี ทรงมีปราสาทชั้นเยี่ยม ๓ หลัง ชื่อว่าสุวัฑฒกะ คิริและนารีวาหนะ มีพระสนมกำนัลสองหมื่นสี่พันนาง ล้วนประดับประดางดงาม มีพระอัครมเหสีพระนามว่าพระนางสัพพกามา พระโอรสพระนามว่าอตุละ พระผู้สูงสุดในบุรุษ ทรงเห็นนิมิต ๔ เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือช้าง พระมหาวีระ สิขี ผู้นำเลิศแห่งโลก สูงสุดในนรชน  อันท้าวมหาพรหมอาราธนาแล้ว  ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ มิคทายวัน  พระสิขีพุทธเจ้าผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ มีพระอัครสาวก ชื่อว่าพระอภิภูและพระสัมภวะ มีพระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า  พระเขมังกร มีพระอัครสาวิกา ชื่อว่าพระสขิลาและพระปทุมา  โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียก ต้นปุณฑรีกะ มีอัครอุปัฏฐากชื่อว่าสิริวัฑฒะและนันทะ มีอัครอุปัฏฐายิกาชื่อว่าจิตตาและสุจิตตา พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นสูง ๗๐ ศอก เสมือนรูปปฏิมาทอง มีมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ พระรัศมีวาหนึ่ง แล่นออกจากพระวรกายของพระ องค์ ทั้งกลางวันกลางคืนไม่ว่างเว้น พระรัศมีทั้งหลาย แล่นไปทั้งทิศใหญ่ทิศน้อย ๓ โยชน์ พระชนมายุของพระสิขีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่เจ็ดหมื่นปี พระองค์มีพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น ทรงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆะ พระองค์ทั้งพระสาวก ทรงยังเมฆคือธรรมให้ตกลง ยังโลกทั้งเทวโลกให้ชุ่มชื่น ให้ถึงถิ่นอันเกษม แล้วก็ดับขันธปรินิพพาน พระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ พรั่งพร้อมด้วยพระอนุพยัญชนะ ทั้งนั้นก็อันตรธานไปสิ้น สังขาร ทั้งปวง ก็ว่างเปล่า แน่แท้

สมัยนั้น เราเป็นกษัตริย์นามว่าอรินทมะ เลี้ยงดู พระสงฆ์มีพระสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน ให้อิ่มหนำสำราญ เราถวายผ้าอย่างดีเป็นอันมาก ไม่น้อยนับโกฏิผืน ถวายยานคือช้างที่ประดับแล้ว แด่พระสัมพุทธเจ้า เราชั่งกัปปิยภัณฑ์มีประมาณเท่ายานคือช้าง ยังจิตของเราอันมั่นคง ให้เต็มด้วยปิติในทานเป็นนิตย์ พระสิขีพุทธเจ้าผู้นำเลิศแห่งโลก แม้พระองค์นั้น ก็ทรงพยากรณ์เราว่า สามสิบเอ็ดกัปนับแต่กัปนี้ ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า พระตถาคตออกอภิเนษกรมณ์ จากกรุงกบิลพัสดุ์ อันน่ารื่นรมย์ ฯลฯ จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้ เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยิ่งมีจิตเลื่อมใส จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไปเพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์ 

(จาก อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๐. สิขีพุทธวงศ์ ที่ DhammaPerfect@yahoo.com)

นึกถึงโคมเทียนของข้าพเจ้า มาเที่ยวนี้ ข้าพเจ้าทำครอบแก้วของโคมเทียนแตกตั้งแต่เริ่มใช้ เพราะความไม่ระวัง แถมยังไปทำเศษแก้วตกที่ทางเดินตอนเวียนเทียนที่พุทธคยา พระทิเบตท่านมาช่วยหาและเก็บเศษแก้วให้ ข้าพเจ้าสาธุ กราบนมัสการและขอบพระคุณในเมตตากรุณาของท่าน  เมื่อกลับมาขึ้นรถ ข้าพเจ้าเอาเทียนปลอมซึ่งเป็นพลาสติกแข็ง ไปใส่ในโคมแก้วแล้วเก็บไว้ที่ชั้นวางของเหนือที่นั่งในรถทัวร์ ไม่พิจารณาก่อนทำ ไม่สนใจ ผลก็คือครอบแก้วแตกหมด เพราะขาดความรอบคอบครั้งที่สอง รู้สึกไม่พอใจความเลินเล่อของตนเอง แต่ก็ยินดีที่ได้เวียนเทียนด้วยเทียนปลอม ที่คิดเอาง่ายเข้าว่าอย่างนี้เพราะความสะดวกในการพกพา การดูแลโคมเทียนตลอดรายการ ก็เป็นภาระอย่างหนึ่ง บางครั้งเกิดอกุศลหลายประการ เนื่องจากจิตใจยังหวั่นไหวไปตามวิบากกรรมหรือสิ่งที่มากระทบอยู่เสมอ จริงๆ ก็รู้อยู่แล้วว่าสิ่งต่างๆที่เจอะเจอ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่พอใจ หรือเป็นสิ่งที่ไม่พอใจ จะรู้สึกสุขทุกข์ว้าวุ่นต่อไปเพียงไหน ก็อยู่ที่การมีสติหรือไม่มีสติในการพิจารณาใคร่ครวญสิ่งต่างๆที่พบ ถ้ามีสติก็เลือกที่จะทำให้เกิดเป็นบุญเป็นกุศล ถ้าไม่มีสติ กิเลสเข้า ก็ทำอกุศล ทำเรื่องไม่เอาไหนไป เรื่องนี้สติแตกจริงๆ ปัญญาก็หนีไปเที่ยวไม่มาเลย

ค่ำนี้ได้แวะร้านขายผ้าไหมแคว้นกาสี ชั้นล่างโชว์การทอผ้า ช่างทอผ้ามีอยู่สองคน คนด้านนอกแก่กว่า ลุงส่งสัญญาณขอเงิน ข้าพเจ้าเกิดอกุศลจิตแต่ก็ให้ไป 10 รูปีส์ ข้าพเจ้าวนๆ ถ่ายรูปก็ไม่ได้จังหวะสักที พอดีลุงโชว์การทอผ้า พอเห็นท่าทางงกๆ เงิ่นๆ เสื้อผ้าเก่าขาด เกิดความสงสารว่า แก่แล้ว อากาศก็เริ่มเย็น มืดค่ำก็ยังไม่กลับบ้าน คราวนี้เลยหยิบไปให้อีกหลายสิบรูปีส์ เมื่อขึ้นมาชั้นสอง เป็นร้านขายผ้า ผ้าสวยจริงแต่ก็แพง คุณแม่น้องเต้ยต่อราคาผ้าพันคอได้ 12 ผืน 1000 บาท ไม่ใช่รูปีส์ เดี๋ยวนี้แขกชอบเงินไทยมากกว่าเงินรูปีส์ เวลาซื้อของ ต้องถามให้ดีว่า หน่วยเป็นรูปีส์ หรือบาท ข้าพเจ้าว่าแพง ชอบราคาประมาณ 50 รูปีส์ จริงๆ ราคานี้อาจไม่แพง เพราะเนื้อผ้าเป็นไหม บางเบา สีสวย ข้าพเจ้ามัวแต่จะหาของดีและถูกที่สุด จึงอดซื้อ เป็นธรรมดา มาอินเดียอย่านึกว่าจะต้องได้ของถูกกว่าที่เมืองไทย ถ้าหากคิดว่าชอบ อยากได้ ราคาพอซื้อได้ ก็รีบซื้อดีกว่ามาเสียดาย มาคิดวุ่นวายในภายหลัง เพราะอาจหาไม่ได้อีก




THAIWARE Dharma | นำข้อมูลบทความออก !  นำข้อมูลออกพิมพ์ !

THAIWARE Dharma | นำข้อมูลออก โดยการพิมพ์ (Print Article by Printable View)    THAIWARE Dharma | นำข้อมูลออกสู่ MS.Word (Export Article to MS.Word)    THAIWARE Dharma | นำข้อมูลออกสู่ ไฟล์เอกสาร PDF (Export Article to PDF Format Document)
 

THAIWARE Dharma | กลับสู่หน้าแรก ไทยแวร์ธรรมะ
 

 

 

 

  THAIWARE Dharma | ส่งความคิดเห็นจากทางบ้าน !
หัวข้อ เนื้อหา ข้อตกลง
  ความคิดเห็น* :

หมายเหตุ : กรอกรายละเอียดของบทความเข้าไป (ไม่รับ HTML Code) สามารถกด Enter ขึ้นบรรทัดใหม่ได้
  ห้ามโพสข้อความ !

  ที่มีการพาดพิงถึงสถาบัน พระมหากษัตริย์และราชวงศ์

  ที่ก่อให้เกิดความเสียหาย หรือส่งผลต่อ ความมั่นคงของประเทศ

  ที่ส่อไปทางลามก อนาจาร หรือผิดศีลธรรม

  ที่ถือเป็นการ ละเมิดลิขสิทธิ์ ผิดกฎหมาย

  ที่เป็นความผิด เกี่ยวกับการก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา

  ที่มีการพาดพิงถึงสถาบัน พระมหากษัตริย์และราชวงศ์

  ที่ผิดต่อ พรบ. ว่าด้วยการกระทำผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๑
  ชื่อ / อีเมล์* :

หมายเหตุ : "นาย สมชาย รักธรรม" หรือ "somchai.r@gmail.com"
  รหัสยืนยัน* :

 
ฉันยอมรับข้อตกลงที่กล่าวมา ภายในหน้านี้ ทั้งหมด