ในสมัยที่ตอนอาตมาบวชใหม่ๆ นั้นก็ยังไม่ได้ประสีประสาอะไรกะว่าจะบวชสักพรรษาหนึ่งแล้วก็สึกออกไปทำงานทำการอะรปานนั้น หลังออกพรรษาแล้วก็ไปกราบลาบอกจุดประสงค์ที่ต้องการแก่ท่านเจ้าคุณผู้ดูแลเราพระเล็กเณรน้อยทีนี้ท่านก็ให้โอวาทว่า ทำไมไม่อยากเป็นพระเอกหรือ?
คนตั้งกี่ร้อยล้านคนที่ทำมาหากินแบบเหมือนๆ กันมันมากเสียจนไม่รู้จะคัดใครมาเป็นต้นแบบสำหรับการดำเนินชีวิตของเจ้าของ จากคำพูดที่ท่านให้โอวาทวันนั้นจำมาจนกระทั่งถึงวันนี้ (ยังไม่ได้สึกเลย) รู้สึกว่าณ เวลาเดี๋ยวนี้เราเลยกลายเป็นพระเอกไปโดยปริยายแบบไม่ต้องสงสัยคือมันเป็นอย่างนี้ ใครไม่สบายเขาก็มาหา เป็นทุกข์ก็มาหาสุขก็มาหาผีเข้าก็มาหา (ไล่ไม่เป็นหรอกนะ) บ้านแตกสาแหรกขาดก็มาผัวด่าเมียเลิกลูกไม่ไปเรียนทำงานเงินเดือนน้อยผ่อนบ้านผ่อนรถเบื่องานเบื่อการดีใจเสียใจถูกหวยเสียไพ่ได้เงินไฮโลค่านำ้ค่าไฟ ?
มีสารพัดที่เขามาเล่าสู่อาตมาฟังเล่าแล้วก็ไป สบายแล้วก็ไป เป็นอยู่อย่างนี้ประจำเท่าที่สังเกตุในเพศบรรพชิตเจ้าของที่เจอมามันมีอยู่เท่านี้ มีบ้างที่เป็นนักปฎิบัติมาเล่าเรื่องการทำสมาธิให้ฟัง อันนี้ดีกว่าทุกๆ เรื่องที่พูดถึง เพราะว่าก็ชอบแนวทางกรรมฐานเป็นทุนอยู่ วกมาว่าเราเป็นพระเอกที่ตรงไหนกัน ? อันนี้อาตมาให้หาคำตอบเองละกันเนอะ :)
หมายเลขไอพี : 223.24.186.xxx
โพสเมื่อ : July 5, 2018 เวลา 20:47:57