พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "ชีวิตนี้คือทุกข์" หมายความว่า ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นทุกข์ การประสบกับสิ่งที่ไม่รัก การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั่น ความโศกเศร้าร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ เป็นทุกข์ เพราะความทุกข์เป็นธรรมชาติที่เราต้องรู้เท่าทัน
หลวงพ่อชาท่านเปรียบเทียบ "ทุกข์กับสุขเป็นเหมือนหัวงูกับหางงู"
มนุษย์เราทั้งหลายไม่ต้องการทุกข์ ต้องการแต่สุข ความสุขนั้นก็คือทุกข์อย่างละเอียด ส่วนทุกข์ก็คือทุกข์อย่างหยาบ พูดอย่างง่าย ๆ สุขและทุกข์นี้ก็เปรียบเหมือนงูตัวหนึ่ง ทางหัวมันเป็นทุกข์ ทางหางมันเป็นสุข ถ้าลูบหัว ปากมันมีพิษ ไปใกล้ทางหัวมันก็กัดเอา ไปจับทางหาง รู้สึกลื่น ๆ แปลก ๆ ก็ดูเหมือนเป็นสุข แต่ถ้าจับไม่วาง มันก็หันกลับมากัดได้เหมือนกัน เพราะทั้งหัวงูและหางงูมันก็อยู่ในงูตัวเดียวกัน
อารมณ์พอใจก็ดี ไม่พอใจก็ดี หากเราไปจับยึกเมื่อไรก็เป็นทุกข์เมื่อนั้น เปรียบเหมือนงูเห่า พอใจ ดีใจ ไม่พอใจ เสียใจ ก็เป็นตัวเดียวกัน ความดีใจ ความเสียใจ มันเกิดจากพ่อแม่เดียวกัน คือ ตัณหา ความลุ่มหลงนั่นเอง ฉะนั้น บางทีเมื่อมีสุขแล้วใจก็ยังไม่สบาย ไม่สงบ ทั้่งที่ได้สิ่งที่พอใจแล้ว ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ ได้มาแล้ว ดีใจก็จริง แต่ก็ยังไม่สงบ เพราะยังมีความเคลือบแคลงใจว่า มันจะสูญเสียไป กลัวมันจะหายไป
บางทีมันเกิดสูญเสียไปจริง ๆ ก็ยิ่งเป็นทุกข์มาก นี่หมายความว่า ถึงจะสุขก็จริง แต่ก็มีทุกข์เจือปนอยู่ในนั้นด้วย แต่เราไม่รู้จัก เหมือนเราจับงูเห่า ยึดในอารมณ์ไม่พอใจ เปรียบเหมือนจับหัวงู โดนงูกัด ทุกข์ทันที พอยึดในอารมณ์พอใจ ก็เหมือนจับหางงู ดูเหมือนไม่อันตราย แต่ถึงเราจะจับหางมันก็จริง ถ้าจับไม่วาง มันก็หันกลับมากัดได้ ทุกข์ทันทีอีก
ดังนั้นผู้แสวงหาความสุขที่แท้จริงต้องระมัดระวังความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพอใจหรือไม่พอใจก็ตาม อย่าไปยึดมั่นถือมั่นมัน เพียงเท่านี้จิตใจเราก็จะสบาย ...