ตามความเห็นของอาจารย์ผู้ที่จะมีดวงตาเห็นธรรมได้อย่างน้อยต้องผ่านปฐมฌาน หากศึกษาจากอริยมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเป็นหนทางปฏิบัติที่นำไปสู่การบรรลุมรรคผล นิพพาน ในองค์ธรรมข้อสุดท้าย คือ สัมมาสมาธิ อธิบายไว้ว่า
สัมมาสมาธิ คือ ความตั้งใจมั่นชอบ คือ ความสงัดแล้วจากกาม ทั้งหลาย สงัดแล้วจากธรรมที่เป็นอกุศลทั้งหลาย
เข้าถึงปฐมฌาน ประกอบด้วยวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดจากวิเวกแล้วแลอยู่ เพราะความที่วิตกวิจารทั้งสองระงับลง
เข้าถึงทุติยฌาน เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกอุผุดมีขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดจากสมาธิแล้วแลอยู่ อนึ่ง เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ ย่อมเป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติและสัมปชัญญะ และย่อมเสวยสุขด้วยนามกาย ชนิดที่พระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมกล่าวสรรเสริญผู้นั้นว่า “เป็นผู้อยู่อุเบกขามีสติอยู่เป็นปกติสุข” ดังนี้
เข้าถึงตติยฌาน แล้วแลอยู่ เพราะละสุขเสียได้ และเพราะละทุกข์เสียได้ เพราะความดับไปแห่งโสมนัส และโทมนัสทั้งสองในกาลก่อน
เข้าถึงจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาแล้วแลอยู่
คุณสมบัติของโสดาบัน
โสดาบัน คือ ผู้ที่จิตตกกระแสนิพพาน ดวงตาเห็นธรรม จึงละความเห็นผิด หรือเรียกว่า สังโยชน์ขั้นต่ำ ๓ อย่างได้ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส
สักกายทิฏฐิ หมายถึง ความเห็นผิดว่าขันธ์ ๕ ซึ่งประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นตัวตนของเรา
วิจิกิจฉา หมายถึง ความเห็นผิดว่าบุคคลจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ด้วยศีลและวัตรี่เคร่งครัด หรือแม้การยึดถือในศีลและวัตรที่งมงาย การยึดติดในรูปแบบ พิธีรีตอง
สีลัพพตปรามาส หมายถึง ความยึดมั่นถือมั่นอยู่ในสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือศีลพรตภายนอกพระพุทธศาสนา หรือความยึดมั่นถือมั่นในการบำเพ็ญเพียงกายและวาจาตามหลักธรรมพระพุทธศาสนา (ศีล) ของตนว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ซึ่งเป็นเหตุให้ละเลยการปฏิบัติทางด้านจิตใจหรือการใช้ปัญญาเพื่อหลุดพ้น (จาก : Wikipedia)
การละสังโยชน์เบื้องต้น ๓ ประการทำให้สำเร็จเป็นอริยบุคคลชั้นต้น คือโสดาบัน ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อศีล สมาธิ ปัญญา ปรากฏขึ้นพร้อมในขณะเดียวกัน เรียกว่ามรรคสมังคีหรืออริยมรรคมีองค์ ๘ เกิดขึ้นพร้อมกัน เกิดดวงตาเห็นธรรม จิตสัมผัสพระนิพพานในขณะนั้น คือ เห็นชัดว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วน มีความดับไปเป็นธรรมดา
โสดาบันเป็นผู้ไม่เกิดในอบายภูมิ เมื่อตายไปก็ไปสุคติ เรียกว่าตายแล้วก็ไปดีแน่นอน และเกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ การตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว เพราะจะเกิดในภพภูมิที่ดี เช่น มนุษย์ เทวดา เป็นต้น ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้า พร้อมที่จะศึกษาและปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าถึงมรรคผลนิพพานต่อไป
บางทีก็ใช้สำนวนว่า โสดาบัน ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วตั้งมั่นอยู่ในศีล ๕ ทุกกรณี ไม่มีทางนำความชั่วได้อีก
คนที่บรรลุธรรมขั้นโสดาบันกลุ่มหนึ่ง เห็นโทษภัยในวัฏสงสารก็เร่งภาวนาเพื่อบรรลุพระอรหันต์ แต่บางท่านยังพอใจในโลกีย์สุขเมื่อบรรลุโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ แม้ว่าเป็นโสดาบันแล้วก็ตาม นางพอใจในการใช้ชีวิตทางโลกก็เลยไม่บวช พออายุ ๑๖ ปี พ่อแม่ก็หาสามีให้แต่งงาน นางก็มีลูกชาย ๑๐ คน ลูกสาวอีก ๑๐ คน รวมทั้งหมดมีลูก ๒๐ คน (บางตำราก็ว่ามีลูกชาย ๑๒ คน ลูกสาว ๑๒ คน ) ถ้ามีปีละคนก็มีลูกมาเรื่อยๆ กว่า ๒๐ ปี ตามตำราอธิบายว่า ลูกแต่ละคนของนางก็มีหลานอีกเฉลี่ยประมาณ ๒๐ คน เมื่อนางวิสาขาอายุ ๘๐ ลูกหลาน ลูกเหลนอีกตั้งเท่าไร คงประมาณ ๕,๐๐๐- ๖,๐๐๐ คน ...