ดาวน์โหลดโปรแกรมฟรี
       
   สมัครสมาชิก   เข้าสู่ระบบ
 

 

รวมลิ้งค์ เว็บไซต์ธรรมะ ที่น่าสนใจ
  THAIWARE Dharma | รายละเอียด บทความ บทสวด บทคาถา ธรรมะ
เลือกขนาดตัวอักษร ขนาดตัวอักษร :  ก   ก   ก   ก 

บรมสุข สุขทางกายอย่างเดียวไม่พอ ต้องสุขทางใจด้วย !

 

    Share  
 

 

ในสมัยวัยรุ่นปู่ชอบอ่านหนังสือนิยายแนววิทยาศาสตร์ของฝรั่ง มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ติดใจ ทำให้ปู่คิดคำนึงถึงทุกวันนี้ ปู่อ่านมานานมากแล้ว ถ้าเล่าคงคลาดเคลื่อนไปบ้างก็ขออภัย เรื่องนี้เป็นเรื่องของโลกในอนาคต มนุษย์มีความเจริญก้าวหน้าในด้านวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก มนุษย์ไปสำรวจดวงดาวต่างๆและด้วยความล้ำเลิศทางด้านพันธุกรรม มนุษย์สามารถสร้างร่างการจำลองของตัวเองเป็นสัตว์ในดวงดาวนั้นได้ และสามารถถ่ายเทดวงจิตไปอยู่ในร่างใหม่ เข้าไปใช้ชีวิตปะปนร่วมกับสัตว์ในดวงดาวนั้

แต่แล้วโครงการนี้ได้สะดุดหยุดลง เมื่อไปเจอดวงดาวแปลกประหลาดที่ปกคลุมด้วยกลุ่มควันหนาแน่น สัตว์ในดวงดาวนี้เป็นสัตว์เลื้อยคลาน ไม่ดุร้าย ท่าทางเชื่องช้า รักสันติ เมื่อมนุษย์ได้เปลี่ยนถ่ายเป็นสัตว์ในดวงดาวนี้และลงไปอยู่ ปรากฎว่าไม่มีใครกลับขึ้นมาอีกเลย

ข่าวนี้ทำให้คนทั้งโลกเกิดความสนใจ สภาโลกได้มอบหมายให้ด็อกเตอร์สาวไปตรวจสอบเรื่องนี้ เธอให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์และสัญญาว่า เธอจะนำความจริงกลับมาสู่โลกให้ได้ หลังจากที่เธอไปใช้ชีวิตในดาวดวงนั้นอยู่ระยะหนึ่ง เธอได้กลับสู่ร่างมนุษย์อีกครั้ง และกลับสู่โลก เธอได้เปิดแถลงการณ์ว่า ได้พบเพื่อนๆ ที่ดาวดวงนั้น ทุกคนปลอดภัยและสบายดี สภาพทั่วไปของดาวดวงนั้นเย็นสบายเหมาะสมกับการอยู่อาศัย เธอยอมรับว่ามีความสุขมาก ที่นั้นคือสวรรค์ ชีวิตที่นั้นดูเป็นนิรันดร

สุดท้ายเธอได้เปิดเผยความในใจในการกลับมาของเธอว่า เธอจากมาด้วยน้ำตานองหน้าอาลัยความสุขนั้นอย่างสุดซึ้ง สิ้นสุดการสัมภาษณ์ เธอลากลับไปดวงดาวนั้นทันที หลังจากข่าวได้แพร่สะพัดไป เกิดปรากฎการณ์ใหม่ มนุษย์โลกได้พากันโยกย้ายถิ่นอพยพหลั่งไหล และเปลี่ยนร่างลงไปอยู่ในดาวดวงนั้นกันเกือบหมด!

เรื่องที่ปู่เล่าคงเป็นแค่นิยายสนุกๆ เรื่องหนึ่ง แม้แต่ฝรั่งยังคิดและจินตนาการถึงความสุขที่ไปค้นพบในดวงดาวที่ไกลโพ้น และได้เข้าไปอยู่อย่างมีความสุข การคิดอย่างนั้นเป็นการมองแบบส่วนเดียว คือร่างกายที่สุขสบายและเป็นอมตะ ไม่ได้มองลึกไปถึงจิตใจ

ซึ่งมนุษย์นั้นเป็นส่วนผสมระหว่างสัญชาตญาณดิบ และความฉลาดที่สับสนวุ่นวาย ถึงมนุษย์จะเจอดวงดาวอย่างนั้น มนุษย์ไม่สามารถหยุดยั้งความทะเยอทะยานของตัวเองได้ คงไม่ได้สงบสุขอย่างที่หวัง นั้นเป็นความคิดแบบฝรั่ง ที่มองทุกอย่างเป็นส่วนๆ แม้แต่ความสุข จึงมีการเสนอความเชื่อเรื่องความสุขกลายรูปแบบ บางคนสอนให้เชื่อเรื่องความสุขหลังความตาย ต้องทำความดีมากๆ จะได้ขึ้นสวรรค์และมีความสุข ความเชื่อนี้มีมานานและเคยได้ผลมาก่อน ต่อมาเริ่มคลอนแคลน และคนที่เชื่ออย่างนั้นได้ลดลงไปเรื่อยๆ ทุกคนหวังความสุขที่พบได้ในชาตินี้มากกว่า ชอบของที่มองเห็นมากกว่า จนเราถลำไปในเรื่องวัตถุนิยม คิดว่าถ้าทุกคนมีเงินคนทั้งโลกจะมีความสุข จึงมีการกระตุ้นการบริโภคอย่างสุดโต่ง ทำให้เกิดรูปแบบชีวิตที่น่าเบื่อหน่าย เช่น ทุกคนต้องแข่งขันกันเรียน แย่งกันทำงาน แย่งกันหาที่อยู่ แต่งงาน เลี้ยงลูกและเป็นหนี้หัวโต เขาเรียกรูปแบบนี้ว่าวงจรอุบาทว์

ในปี ค.ศ. 1960 มีคนบางกลุ่มทนไม่ได้ จึงพากันปฏิเสธการใช้ชีวิตแบบนั้น หันมาใช้ชีวิตอย่างเสรีไม่มีกฎระเบียบ อย่างพวกบุปผาชนหรือฮิปปี้ แต่ในที่สุดก็เสื่อมสลายไป คงเป็นเพราะมันสุขไม่จริงและก่อปัญหามากขี้นไปอีก ในช่วงหลังๆ ฝรั่งเริ่มมองหาความสุขที่ต่างออกไป เป็นความสุขในด้านจิตใจ เป็นความสุขที่ย้อนกลับไปหาภูมิปัญญาแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะศาสนาพุทธได้เป็นที่ยอมรับในซีกโลกตะวันตกมากขึ้นเรื่อยๆ จึงมีคำถามว่าประเทศที่มีความเจริญทางวัตถุและวิทยาการอย่างสุดๆ ทำไมจึงยอมรับแนวความคิดแบบพุทธได้ มีอะไรพิเศษซ่อนอยู่หรือ?

มีหลายคนบอกว่าพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต พิสูจน์ได้ ทดลองได้ ไม่ใช่หลักความเชื่อเพียงอย่างเดียว สิ่งนี้ทำให้ฝรั่งสนใจและรู้สึกท้าทาย หันมาศึกษาและลงมือปฏิบัติกันอย่างจริงจัง ในความคิดของปู่ พุทธศาสนาเหมือนการที่เรากำลังศึกษาอีกด้านหนึ่งของโลก เป็นด้านที่เรามองไม่เห็น นึกไม่ถึง ว่ายังมีความจริงที่ซ่อนอยู่ ถ้าจะเปรียบเทียบอาจเปรียบเหมือนการเหวี่ยงลูกบอลเล็กๆที่ผูกด้วยเชือกเอาไว้และเหวี่ยงเป็นวงกลมรอบตัวเรา เรารู้สึกได้ถึงแรงดึงจากเชือกเพียงอย่างเดียว แต่เราไม่รู้สึกถึงแรงต้านที่เกิดขึ้นในขณะเดียวกัน เพราะขณะที่เหวี่ยงไปเส้นเชือกจะมีทั้งแรงดึงและแรงต้านอยู่ในตัวเดียวกัน และแรงต้านมีประโยชน์ที่ทำให้เชือกไม่ขาด

จากประสบการณ์ของปู่ การศึกษาพุทธศาสนาทำได้สองระดับ ระดับแรก คือการหาองค์ความรู้ ระดับที่สอง คือการต่อยอดในระดับแรกเราต้องทำตัวเหมือนนักวิทยาศาสตร์ สมมติว่าเราจะศึกษาเชื้อโรคชนิดหนึ่ง เราต้องนั่งดูการเติบโต การขยายตัว อาหาร สภาพร้อนหรือชื้น อย่างไหนที่พอเหมาะกับการเติบโต หรืออะไรที่ทำให้มันตาย ส่วนนี้ต้องใช้การเฝ้าดู ห้ามใช้ความคิด เราจะได้ข้อมูลทั้งหมดของเชื้อโรคตัวนั้น

ในทางพุทธ ถ้าเราจะศึกษาตัวของเรา เราต้องดูกาย ดูจิต ดูการเคลื่อนไหวของจิต แต่เดิมเรามาใช้ชีวิตตามยถากรรม ทุกอย่างเป็นไปอย่างอัตโนมัติ เหมือนรถ เราใช้เกียร์อัตโนมัติมาตลอด เราไม่เคยใส่ใจสิ่งที่เราทำ แต่เมื่อเราต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเรา เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ เราต้องกลับมาใช้รถระบบเกียร์ธรรมดา ต้องค่อยๆ ปล่อยครัชและเหยียบคันเร่งน้ำมันอย่างช้าๆ ต้องทำอย่างตั้งใจ ไม่อย่างนั้นเครื่องอาจกระตุกและดับได้

ดังนั้นเราต้องช้าลงเพื่อให้เห็นสิ่งเหล่านี้ เห็นการเคลื่อนไหว การเกิดอารมณ์ต่างๆ ของเรา การเรียนรู้ต้องใช้ความรู้สึกตัวเป็นตัวรู้หรือสติเป็นเครื่องมือในการดูเราดูทั้งการเคลื่อนไหวของร่างกายซึ่งจะกระทบไปทางจิตของเรา เมื่อกระทบก็จะเกิดความรู้สึกชอบไม่ชอบ เฉยๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้ใจเราไหวไปมา ทั้งสองอย่างนี้สัมพันธ์กัน เพื่อความง่ายในการฝึก เราอาจสลับไปสลับมา อย่าเคร่งเครียดจนเกินไป ในการฝึก ต้องพร้อมและผ่อนคลาย ถ้าตั้งใจมากใจมันจะแข็ง ใช้งานไม่ได้ดี

ในส่วนนี้เราอาจจะใช้การนั่งสมาธิเสริมเพื่อเป็นการผ่อนคลายได้ เรียกว่าการพักจิต แต่อย่าจงใจจนเป็นการกดข่ม อาจทำให้จิตดิ้นและหลอกเราเป็นนิมิตต่างๆ ได้ เมื่อเราดูจนเข้าใจกลไกของจิต มองเห็นการเคลื่อนไหว สิ่งนี้เรียกว่าการปรุงแต่ง ความชอบ ไม่ชอบ เฉยๆ สิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้เราเกิดความทุกข์ ความสุข เกิดความอยาก ทุรนทุราย พอเราได้องค์ความรู้นี้ สติจะเข้มแข็งขึ้น ว่องไวขึ้น เริ่มตามทันอารมณ์ต่างๆ มากขึ้น จิตจะเริ่มเชื่องว่านอนสอนง่าย ไม่ดื้อพยศ

ถ้าจะเปรียบเทียบจิตเหมือนลิง มีนิสัยซุกซน เที่ยวซนไปทั่ว เราต้องมีเชือกที่เรียกว่า สติ คอยดึงกลับอยู่เรื่อยๆอย่าให้ไถลไปไกลมากนัก เชือกอาจขาดได้ ที่เราเรียนกว่าสติแตก ฟั่นเฟือนถูกอารมณ์ต่างๆ ครอบงำ เมื่อเรารู้จักตัวเองมากขึ้น สามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจนถูกต้อง ความสงสัยและสับสนหายไป สติตั้งมั่นเป็นกลาง จิตใจเริ่มร่มเย็นสงบมีความสุขมากขึ้น ความทุกข์หายไปกว่าครึ่ง นั้นเป็นผลพลอยได้จากการเรียนรู้ เมื่อองค์ความรู้เกิดเต็มที่ จิตจะสว่างไสวเรียกว่าประภัสสร หรือจิตเดิมแท้เริ่มลอยเด่นชัดไม่มืดมัว จากนั้นเรามาต่อในระดับที่สอง เป็นการต่อยอดจากส่วนแรก

เหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเชื้อโรคตัวนี้ จนเข้าใจทะลุปรุโปร่งดีแล้วก็สามารถที่จะคิดค้นยาสำหรับรักษาโรคที่เกิดจากเชื้อโรคตัวนี้ได้ เมื่อเรามีองค์ความรู้พร้อมแล้ว เริ่มเดินหน้าต่อไปโดยยึดหลักดังต่อไปนี้ ข้อแรกต้องรักษาศีลให้เข้มงวดขึ้น เพื่อป้องกันการออกนอกเส้นทาง สองเพิ่มสมาธิ เป็นการเพิ่มพลังให้แข็งกล้าขึ้นเพราะการต่อสู้และการเข้าถึงจะเข้มข้นขึ้นไปเรื่อยๆ สามต้องเพิ่มระดับของปัญญาให้แก่รอบมากขึ้น ความสำเร็จเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับต้นทุนเดิมและความมานะพยายามของแต่ละคน เป้าหมายคือการรู้แจ้ง

ถึงจุดสุดท้ายคือปลดปล่อยพันธนาการของโลก ออกจากตัวเรา หมายถึงการที่เราสามารถเข้าถึงสัจธรรมอีกด้านหนึ่ง เหมือนเราได้สัมผัส และมองเห็นแรงต้านในเส้นเชือก ถึงแม้ขั้นตอนนี้ค่อนข้างยากลำบาก หากสามารถทำได้ถึงระดับนี้ พลังของเราจะเริ่มย้อนกลับกับโลก กฎต่างๆ ของโลกเริ่มใช้กับเราได้น้อยลง และพลังงานต่างๆ ถูกเราควบคุมได้มากขึ้น เกิดการหยั่งรู้ เกิดฤทธิ์นั้นเป็นเพียงผลพลอยได้ ไม่ใช่เป้าหมายหลักในความพากเพียรอุตสาหะของเรา

สิ่งสูงสุดคือการหลุดพ้นอย่างแท้จริง ไม่ต้องวนเวียนในความทุกข์อีกต่อไป เมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์ถูกทำลาย เรื่องที่ปู่เล่ามานี้อาจเข้าใจยากและทำได้ยาก เราต้องบากบั่นกันต่อไป ส่วนจะจริงแท้อย่างไร? เราต้องกล้าลองพิสูจน์ เหมือนเราอยากรู้ว่าภาพยนตร์ เรื่องนี้ดีหรือไม่? เราต้องตีตั๋วเข้าไปนั่งดู ถ้าไม่ได้เรื่อง เลิกดูออกจากโรงภาพยนต์ก็จบกัน แต่ถ้าคุ้มค่ากับการลงทุนลงแรง เราอาจได้พบกับสิ่งที่เหลือเชื่อ เป็นความสุขที่หาที่เปรียบไม่ได้ที่เรียกว่า บรมสุข




THAIWARE Dharma | นำข้อมูลบทความออก !  นำข้อมูลออกพิมพ์ !

THAIWARE Dharma | นำข้อมูลออก โดยการพิมพ์ (Print Article by Printable View)    THAIWARE Dharma | นำข้อมูลออกสู่ MS.Word (Export Article to MS.Word)    THAIWARE Dharma | นำข้อมูลออกสู่ ไฟล์เอกสาร PDF (Export Article to PDF Format Document)
 

THAIWARE Dharma | กลับสู่หน้าแรก ไทยแวร์ธรรมะ
 

 

 

 

  THAIWARE Dharma | ส่งความคิดเห็นจากทางบ้าน !
หัวข้อ เนื้อหา ข้อตกลง
  ความคิดเห็น* :

หมายเหตุ : กรอกรายละเอียดของบทความเข้าไป (ไม่รับ HTML Code) สามารถกด Enter ขึ้นบรรทัดใหม่ได้
  ห้ามโพสข้อความ !

  ที่มีการพาดพิงถึงสถาบัน พระมหากษัตริย์และราชวงศ์

  ที่ก่อให้เกิดความเสียหาย หรือส่งผลต่อ ความมั่นคงของประเทศ

  ที่ส่อไปทางลามก อนาจาร หรือผิดศีลธรรม

  ที่ถือเป็นการ ละเมิดลิขสิทธิ์ ผิดกฎหมาย

  ที่เป็นความผิด เกี่ยวกับการก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา

  ที่มีการพาดพิงถึงสถาบัน พระมหากษัตริย์และราชวงศ์

  ที่ผิดต่อ พรบ. ว่าด้วยการกระทำผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๑
  ชื่อ / อีเมล์* :

หมายเหตุ : "นาย สมชาย รักธรรม" หรือ "somchai.r@gmail.com"
  รหัสยืนยัน* :

 
ฉันยอมรับข้อตกลงที่กล่าวมา ภายในหน้านี้ ทั้งหมด